วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2558

โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์



ภาษาJavaคืออะไร

                      เพื่อนๆมีใครทราบบ้างคะว่าสิ่งนี้คืออะไร...ถ้ายัง วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับมันไปพร้อมกัน

                                                                          .
                                                                          .
                                                                          .
          Java เป็นภาษาโปรแกรมที่ใช้ในการเขียนคำสั่งสั่งงานคอมพิวเตอร์ ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยบริษัท ซันไมโครซิสเต็มส์ จำกัด (Sun Microsystems Inc.) ในปี ค.ศ. 1991

                                     
                                         



            เป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยเพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์ สำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ต่างๆ เช่น โทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือ โดยมีเป้าหมายการทำงานเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ต่างๆได้อย่างกว้างขวาง และมีประสิทธิภาพ ใช้เวลาน้อย รวดเร็วในการพัฒนาโปรแกรม และสามารถเชื่อมต่อไปยังแพล็ตฟอร์ม (Platform) อื่นๆได้ง่าย  Java เป็นภาษาสำหรับเขียนโปรแกรมภาษาหนึ่งที่มีลักษณะสนับสนุนการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ (OOP : Object-Oriented Programming) ที่ชัดเจน โปรแกรมต่าง ๆ ถูกสร้างภายในคลาส (Class) โปรแกรมเหล่านั้นเรียกว่า Method หรือ Behavior โดยปกติจะเรียกแต่ละ Class ว่า Object โดยแต่ละ Object มีพฤติกรรมมากมาย โปรแกรมที่สมบูรณ์จะเกิดจากหลาย object หรือหลาย Class มารวมกัน โดยแต่ละ Class จะมี Method หรือ Behavior แตกต่างกันไป

            
                                         


          1. ภาษา Java เป็นภาษาโปรแกรมที่ง่ายในการเรียนรู้ 
                      โปรแกรมที่เขียนด้วยภาษา Java จึงคอมไพล์ได้ง่ายตลอดจนตรวจสอบหาข้อผิดพลาดโปรแกรมได้ง่ายด้วย ภาษา java เป็นภาษาที่ทำความเข้าใจได้ง่ายมาก มีขนาดเล็กและยากที่จะเกิดข้อผิดพลาด เขียนคำสั่งได้ง่าย มีประสิทธิภาพในการทำงานและมีความยืดหยุ่นสูง

          2. ภาษา Java เป็นการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ OOP (Object-Oriented Programming) 
                      การเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ เป็นเทคนิคการเขียนโปรแกรมให้มีลักษณะเป็นโมดูล (Module) แบ่งโปรแกรมเป็นส่วนๆ ตามสภาวะแวดล้อมการทำงานของโปรแกรมซึ่งเรียกว่า Method โดยทุก Method ก็คือ ระเบียบวิธี หรือการทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยจะถูกรวบรวมอยู่ในคลาส ซึ่งหลักการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุจะมององค์ประกอบของโปรแกรมต่างๆเป็นคลาสหรือวัตถุ เรียกว่า Object

                                          


          3. ภาษา Java เป็นอิสระต่อแพล็ตฟอร์ม (Java is Platform-Independent)
                       Java เป็นอิสระต่อแพล็ตฟอร์ม ทั้งระดับซอร์ซโค้ด (Source Code) และไบนารีโค้ด Binary Code) ช่วยให้สามารถเคลื่อนย้ายโปรแกรมจากระบบคอมพิวเตอร์หนึ่งไปยังระบบคอมพิวเตอร์อื่นได้อย่างง่ายดาย เพราะว่าโปรแกรมที่เขียนด้วยภาษา Java ได้รวบรวมคำสั่งต่างๆไว้ในไลบรารีคลาสพื้นฐานต่างๆ เป็น Java Packages  เมื่อย้ายโปรแกรมไปยังแพล็ตฟอร์มอื่น โดยไม่ต้องเขียนซอร์ซโค้ด (Source Code) ขึ้นใหม่ทำให้ประหยัดเวลามาก


          4. ภาษา Java มีระบบการทำงานและมีระบบความปลอดภัยที่ดี 
                        Java จะคำสั่งต่างๆที่เป็นส่วนประกอบของ Java API โดยมีการรวบรวมเป็นคลาสต่างๆไว้มากมาย ช่วยอำนวยความสะดวกในการเขียนโปรแกรม นอกจากนั้นยังมี Garbage Collector โดยมีระบบจัดการหน่วยความจำเพื่อเก็บขยะของโปรแกรมและคืนหน่วยความจำให้กับระบบ โปรแกรมที่เขียนด้วยภาษา Java มีระบบจัดการข้อผิดพลาดที่เกิดจากการทำงานของโปรแกรมที่เรียกว่า Exception Handling ด้วยทำให้สามารถตรวจสอบโปรแกรม (Debug) โปรแกรมได้ง่ายขึ้น Java มีระบบความปลอดภัยที่ดี เช่น โปรแกรม Java ที่ทำงานบนเว็บบราวเซอร์ (Web Browser) ที่เรียกว่า Java Applet นั้นจะทำงานเฉพาะบนเครื่องแม่ข่าย (Server) โดยไม่สามารถเข้าถึงเครื่องลูกข่าย (Client) ไปทำลายไฟล์ หรือไฟล์ระบบ (System file) ได้ ทำให้มีระบบความปลอดภัยที่ดี ป้องกันข้อมูลจากไวรัส และโปรแกรมที่เขียนด้วย Java ไม่มีพฤติกรรมเป็นไวรัสได้

- เครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนาโปรแกรม
          เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการเขียนโปรแกรมด้วยภาษา Java จะต้องมีโปรแกรมที่รวมคำสั่งต่างๆ ให้สามารถคอมไฟล์ และรันโปรแกรมได้ที่เรียกว่า Java Virtual Machine
           รันโปรแกรมที่เขียนด้วยภาษา Java โดยการดาวน์โหลด (Download) โปรแกรมชุดพัฒนาจาวา JDK ได้ที่เว็บไซต์www.java.sun.com ซึ่งจะมีโปรแกรม JDK เวอร์ชันใหม่ตลอดเวลา และเลือกระบบปฏิบัติการที่ต้องการใช้ หลังจากนั้นได้ทำการติดตั้ง และลงโปรแกรมให้เรียบร้อย เครื่องมือ และคำสั่งที่ใช้ในการสร้างโปรแกรม Java จะถูกเก็บไว้ในโฟลเดอร์ของ Java ที่ชื่อ bin เช่น C:\java\bin เป็นต้น ประกอบด้วยคำสั่งที่สำคัญดังนี้
ไฟล์
คำอธิบาย
javac.exeคอมไพล์เลอร์ (Compiler) ของ Java เป็นคำสั่งที่ใช้คอมไฟล์ ตรวจสอบไวยากรณ์ของโปรแกรมโดยการแปลงไฟล์ซอร์สโค้ด ให้เป็นไฟล์ไบต์โค้ดที่เป็นคลาสของโปรแกรม
java.exeอินเตอร์พรีเตอร์ (Interpreter) ของ Java เป็นคำสั่งที่ใช้ในการรันไฟล์ไบต์โค้ดที่คอมไพล์ แล้วให้ทำงานตามคำสั่งของโปรแกรม
appletviewer.exeApplet Viewer เป็นคำสั่งที่ใช้ทดสอบและรันโปรแกรมแอปเพล็ต
javadoc.exeผลิตเอกสารของคำสั่ง API ใช้สร้างเอกสารของ Java API ในรูปแบบของ HTML จาก
ซอร์สโค้ดของ Java
javap.exeการแยกและถอดไฟล์ของ Java และพิมพ์ออกมาเป็นตัวแทนของไบต์โค้ด (Bytecode)
jdb.exeดีบักเกอร์(Debugger) ของ Java ใช้ในการตรวจสอบข้อผิดพลาดในโปรแกรมพร้อมรายงานข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น


การเขียนโปรแกรมด้วยภาษา Java ประกอบด้วยขั้นตอนการทำงานทั้งหมด 3 ขั้นตอน ดังนี้
          ขั้นตอนที่ 1 สร้างโปรแกรมซอร์สโค้ด โดยการพิมพ์คำสั่งต่างๆ ตามหลักการเขียนโปรแกรมด้วยภาษา Java โดยใช้เอดิเตอร์ (Editor) หรือโปรแกรมที่สามารถพิมพ์ข้อความ (Text Editor) และสามารถบันทึกไฟล์เป็นรหัสแอสกี (ASCII) ได้ เช่น โปรแกรม Notepad หรือ โปรแกรม Editplus เป็นต้น หลังจากเขียนโปรแกรมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต้องทำการบันทึกข้อมูลเป็นไฟล์ที่มีชื่อเดียวกันกับชื่อคลาสของ Java และใช้นามสกุลไฟล์เป็น java ตัวอย่างเช่น TestJava.java

          ขั้นตอนที่ 2 คอมไพล์โปรแกรมซอร์สโค้ด โดยการใช้คำสั่ง javac.exe ที่มากับการติดตั้ง JDK แล้ว มีรูปแบบคำสั่ง คือ javac  FileName.java เมื่อ FileName.java คือ ชื่อไฟล์ใดๆ ที่มีนามสกุล java  ถ้าไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ ผลลัพธ์ที่ได้จากการคอมไพล์ จะได้ไฟล์ไบต์โค้ดที่ชื่อเดียวกับชื่อคลาส ตัวอย่างเช่น  javac  TestJava.java หลังจากการคอมไพล์จะได้ไฟล์ TestJava.class ข้อสำคัญในการคอมไพล์ไฟล์ซอร์สโค้ด คือต้องพิมพ์ชื่อไฟล์พร้อมนามสกุลเป็น java เสมอ และต้องพิมพ์ชื่อไฟล์ด้วยตัวอักษรตัวใหญ่หรืตัวเล็กให้ถูกต้องตามการตั้งชื่อคลาส
          ขั้นตอนที่ 3 ทำการรันโปรแกรม เพื่อดูผลลัพธ์ทางจอภาพโดยการรันไฟล์ไบต์โค้ด โดยการใช้คำสั่ง javac.exe ที่มากับการติดตั้ง JDK แล้วซึ่งมีรูปแบบคำสั่งคือ java  FileName เมื่อ FileName คือ ชื่อไฟล์ใดๆ ไม่ต้องมีนามสกุล
          ดังนั้นการรันโปรแกรมเพียงแค่พิมพ์ชื่อไฟล์ไม่ต้องพิมพ์นามสกุลของไฟล์ และต้องพิมพ์ชื่อไฟล์ด้วยตัวอักษรตัวใหญ่หรืตัวเล็กให้ถูกต้องตามชื่อคลาส  ตัวอย่างเช่น  java  TestJava  เมื่อ TestJava  คือชื่อไฟล์ TeatJava.class


ตัวอย่างการเขียนโปรแกรมด้วย Java
          ตัวอย่างแรกของการเขียนโปรแกรมด้วย Java จะเป็นตัวอย่างที่เขียนด้วยคำสั่งง่ายๆ คือ โปรแกรมที่แสดงข้อความ “Hello World!” ออกทางจอภาพ ดังตัวอย่างไฟล์ TestJava.java

            
        class TestJava
                    {
                    public static void main(String[] args)
                    {
                    System.out.println("Hello World!");
                    }
                    }


การแสดงผลทางจอภาพ
คำสั่งที่ใช้ในการแสดงผลข้อมูลออกทางจอภาพ ได้แก่
          1. คำสั่ง  System.out.print() คือคำสั่งในการแสดงข้อความทางจอภาพในบรรทัดที่เคอ
เซอร์อยู่โดยไม่มีการขึ้นบรรทัดใหม่ มีรูปแบบการใช้งาน ดังนี้
          รูปแบบคำสั่ง 
                    System.out.print(String text);
                    System.out.print(int x);
                    System.out.print(char ch);

          เมื่อ
                    text  คือข้อความที่ต้องการแสดงผลทางจอภาพอยู่ในเครื่องหมายคำพูด (“ … ”)
                    x  คือตัวเลขที่ต้องการแสดงผลทางจอภาพอยู่ในเครื่องหมายคำพูด (“ … ”)
                    ch  คือตัวอักขระที่ต้องการแสดงผลทางจอภาพอยู่ในเครื่องหมาย ‘ และ  ’
          ตัวอย่างเช่น

                    System.out.print("Hello World!");
                    System.out.print(2500);
                    System.out.print(‘A’);
          ผลลัพธ์ทางจอภาพ
                    Hello World!2500A
         2. คำสั่ง  System.out.println() คือคำสั่งในการแสดงข้อความทางจอภาพแล้วขึ้น
บรรทัดใหม่ มีรูปแบบการใช้งาน ดังนี้
          รูปแบบคำสั่ง  
                   
 System.out.println();
                    System.out.println(String text);
                    System.out.println(int x);
                    System.out.println(char ch);

          เมื่อ
                    text  คือข้อความที่ต้องการแสดงผลทางจอภาพอยู่ในเครื่องหมายคำพูด (“ … ”)
                    x  คือตัวเลขที่ต้องการแสดงผลทางจอภาพอยู่ในเครื่องหมายคำพูด (“ … ”)
                    ch  คือตัวอักขระที่ต้องการแสดงผลทางจอภาพอยู่ในเครื่องหมาย ‘ และ  ’
          ตัวอย่างเช่น
                    System.out.println("Hello World!");
                    System.out.println();
                    System.out.println(2500);
                    System.out.println(‘A’);

          ผลลัพธ์ทางจอภาพ
                    Hello World!
                    2500
                    A

          กรณีต้องการแสดงข้อความพร้อมกันในคำสั่ง System.out.println() ในครั้งเดียว ให้ใช้เครื่องหมาย + ในการเชื่อมข้อมูล
           ตัวอย่างเช่น
                    System.out.println("Hello World!"+2500+ ‘A’);
                    System.out.println("Hello World!\n"+2500+ ‘A’);

          ผลลัพธ์ทางจอภาพ
                    
Hello World!2500A                    Hello World!
                    2500A


          1.5 ข้อมูลค่าคงที่
           ข้อมูลค่าคงที่คือคำที่ใช้ในการแสดงข้อมูลที่เป็นตัวเลข ตัวอักขระ ข้อความ หรือค่าทางตรรกะ ซึ่งในภาษา Java ได้กำหนดข้อมูลค่าคงที่ไว้ 5 ประเภท ดังนี้

  ค่าคงที่ตัวเลขจำนวนเต็ม ประกอบด้วยลำดับของตัวเลข ซึ่งสามารถเขียนได้โดยใช้
ระบบจำนวน(Number System) อาทิเช่น ระบบเลขฐานสิบ ฐานแปด และฐานสิบหกค่าคงที่ตัวเลขจำนวนเต็มฐานสิบแต่ละหลักต้องประกอบด้วยตัวเลข 0 ถึง 9 โดยตัวเลขหลักแรกต้องไม่เป็น 0 และไม่มีเครื่องหมายอื่นๆ เช่น จุลภาค(,)  จุดทศนิยม(.) หรือ ช่องว่าง เป็นต้น
           ตัวอย่างของค่าคงที่ตัวเลขจำนวนเต็มฐานสิบที่ถูกต้อง ได้แก่                      0    1    123      5482     364820     9994750
           ตัวอย่างของค่าคงที่ตัวเลขจำนวนเต็มฐานสิบที่ไม่ถูกต้อง ได้แก่

12,510เป็นค่าคงที่ตัวเลขจำนวนเต็มที่ผิดเพราะมีเครื่องหมายจุลภาค
360.52เป็นค่าคงที่ตัวเลขจำนวนเต็มที่ผิดเพราะมีเครื่องหมายจุดทศนิยม
15 822เป็นค่าคงที่ตัวเลขจำนวนเต็มที่ผิดเพราะมีช่องว่าง
123-456-789เป็นค่าคงที่ตัวเลขจำนวนเต็มที่ผิดเพราะมีเครื่องหมายลบ
09001เป็นค่าคงที่ตัวเลขจำนวนเต็มที่ผิดเพราะมีเลข 0 นำหน้า
          ค่าคงที่ตัวเลขจำนวนเต็มฐานแปดแต่ละหลักต้องประกอบด้วยตัวเลข 0 ถึง 7 โดย
ตัวเลขหลักแรกต้องเป็น 0 และไม่มีเครื่องหมายอื่นๆ เช่น จุลภาค(,)  จุดทศนิยม(.) หรือ ช่องว่าง เป็นต้น
           ตัวอย่างของค่าคงที่ตัวเลขจำนวนเต็มฐานแปดที่ถูกต้อง ได้แก่
                      0 01  0123   05472
           ตัวอย่างของค่าคงที่ตัวเลขจำนวนเต็มฐานแปดที่ไม่ถูกต้อง ได้แก่

752เป็นค่าคงที่ตัวเลขจำนวนเต็มที่ผิดเพราะไม่มี 0 นำหน้า
05281เป็นค่าคงที่ตัวเลขจำนวนเต็มที่ผิดเพราะมีตัวเลข 8
0475.510เป็นค่าคงที่ตัวเลขจำนวนเต็มที่ผิดเพราะมีเครื่องหมายจุดทศนิยม (.)
           ค่าคงที่ตัวเลขจำนวนเต็มฐานสิบหกแต่ละหลักต้องประกอบด้วยตัวเลข 0 ถึง 9 และ
ตัวอักษร a ถึง f (ทั้งตัวเล็กตัวใหญ่) โดยต้องขึ้นต้นด้วย 0x หรือ 0X และไม่มีเครื่องหมายอื่นๆ เช่น จุลภาค(,)  จุดทศนิยม(.) หรือ ช่องว่าง เป็นต้น


    ตัวอย่างของค่าคงที่ตัวเลขจำนวนเต็มฐานสิบหกที่ถูกต้อง ได้แก่                      0X    0X1    0x789FF      0xabcd


    ตัวอย่างของค่าคงที่ตัวเลขจำนวนเต็มฐานสิบหกที่ไม่ถูกต้อง ได้แก่
0xDEFGเป็นค่าคงที่ตัวเลขจำนวนเต็มที่ผิดเพราะมีตัวอักษร G
05281เป็นค่าคงที่ตัวเลขจำนวนเต็มที่ผิดเพราะไม่ขึ้นต้นด้วย 0x หรือ 0X
0X475.10เป็นค่าคงที่ตัวเลขจำนวนเต็มที่ผิดเพราะมีเครื่องหมายจุดทศนิยม (.)
           ค่าคงที่ตัวเลขทศนิยม คือตัวเลขทศนิยมฐานสิบ ซึ่งประกอบด้วยตัวเลข 0 ถึง 9 และจุดทศนิยม หรือเลขชี้กำลังที่เขียนอยู่ในรูปแบบของเลขยกกำลัง (Exponential)        ตัวอย่างของค่าคงที่ตัวเลขทศนิยมที่ถูกต้อง ได้แก่       

               0.                1.                      0.2                    700225.542
                      50000.       0.000458        12.578             30.E4   
                      25E-8        0.006e-3         1.678E+8        .12345e12


        ตัวอย่างของค่าคงที่ตัวเลขทศนิยมที่ไม่ถูกต้อง ได้แก่
1เป็นค่าคงที่ตัวเลขทศนิยมที่ผิดเพราะไม่มีจุดทศนิยมหรือเลขชี้กำลัง
2E+10.2เป็นค่าคงที่ตัวเลขทศนิยมที่ผิดเพราะเลขชี้กำลังต้องเป็นเลขจำนวนเต็มเท่านั้น
12,000.158เป็นค่าคงที่ตัวเลขทศนิยมที่ผิดเพราะมีเครื่องหมายจุลภาค

ชนิดข้อมูล (Data Types)
          ในการเขียนโปรแกรมด้วยภาษา Java เช่นการประกาศตัวแปร หรือกำหนดค่าข้อมูลต่างๆ ต้องระบุชนิดข้อมูลอย่างชัดเจน โดยชนิดข้อมูลในภาษา Java มี 2 ประเภท คือ
          1. ชนิดข้อมูลพื้นฐาน (Primitive Data Type) คือชนิดข้อมูลที่ใช้ในการเขียนโปรแกรมสำหรับเก็บข้อมูลชนิดต่างๆ ได้แก่ จำนวนเต็ม(Integer) จำนวนทศนิยม(Floating Point) ข้อมูลอักขระ(Character) และข้อมูลตรรกะ (Logical Data)
          2. ชนิดข้อมูลแบบอ้างอิง (Reference Data Type) คือชนิดข้อมูลที่มีการอ้างอิงตำแหน่งในหน่วยความจำ ได้แก่ข้อมูลของคลาส เช่น String และข้อมูลแบบอาเรย์
          ชนิดข้อมูลพื้นฐานในภาษา Java มีทั้งหมด 8 ชนิดข้อมูลโดยแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ประกอบด้วย
                    1. ชนิดข้อมูลจำนวนเต็ม(Integer) ได้แก่ long, int, short และ byte
                    2. ชนิดข้อมูลจำนวนทศนิยม(Floating Point) ได้แก่ double และ float
                    3. ชนิดข้อมูลอักขระ(Character) ได้แก่ char
                    4. ชนิดข้อมูลตรรกะ (Logical Data) ได้แก่ boolean
          ชนิดข้อมูลแต่ละประเภทจะมีขนาดและช่วงค่าของข้อมูลแตกต่างกัน และสามารถสรุปประเภทชนิดข้อมูล ขนาดและช่วงค่าของข้อมูล และค่าเริ่มต้น ได้ดังนี้

ประเภท
ชนิดข้อมูล
ขนาด
Size(bit)
ช่วงค่าข้อมูล
ค่าเริ่มต้น(Default)
จำนวนเต็ม
long
64
signed (two's complement)  มีค่าอยู่ระหว่าง
-9,223,372,036,854,775,808 ถึง 9,223,372,036,854,775,807
0L

int
32
signed (two's complement) มีค่าอยู่ระหว่าง
-2,147,483,648 ถึง 2,147,483,647
0

short
16
signed (two's complement) มีค่าอยู่ระหว่าง
-32,768 ถึง 32,767
0

byte
8
signed (two's complement) มีค่าอยู่ระหว่าง
มีค่าอยู่ระหว่าง -128 ถึง 127
0
จำนวนทศนิยม
double
64
IEEE 754 มีค่าอยู่ระหว่าง
4.94065645841246544e-324 ถึง1.79769313486231570e+308
0.0

float
32
IEEE 754 มีค่าอยู่ระหว่าง
1.40129846432481707e-45 ถึง 3.40282346638528860e+38
0.0F
อักขระ
char
16
Unicode มีค่าอยู่ระหว่าง 0 ถึง 65,535
\u0000
ตรรกะ
boolean
1
มีค่าเท่ากับ true หรือ false
false
ชนิดข้อมูลแบบอื่นๆ
String


null
        2.1 ชนิดข้อมูลจำนวนเต็ม(Integer)
           ชนิดข้อมูลจำนวนเต็มประกอบด้วย 4 ชนิดได้แก่ long, int, short และ byte เป็นชนิดข้อมูลที่ใช้เก็บข้อมูลตัวเลขจำนวนเต็มในทางคณิตศาสตร์ ช่วงของข้อมูลขึ้นอยู่ขนาดของตัวแปรที่ประกาศ ตัวอย่างเช่น ตัวแปร int จะมีขนาด 32 บิต เก็บข้อมูลได้ -2,147,483,648 ถึง 2,147,483,647 การกำหนดค่าข้อมูลให้กับตัวแปรชนิดข้อมูลจำนวนเต็ม มีดังนี้
                    1. เลขฐานสิ
บคือการเขียนค่าของข้อมูลจำนวนเต็มทั่วไป เช่น 1200 150  -250  เป็นต้น โดยการเขียนจะไม่มีเครื่องหมาย , (Comma) เช่น 25,000 จะต้องเขียนเป็น 25000

                    2. เลขฐานแปดคือการเขียนค่าของข้อมูลจำนวนเต็มโดยใช้เลขฐานแปด โดยการขึ้นต้นข้อมูลด้วยเลข  0 แล้วตามด้วยเลข 0 ถึง 7 ตัวอย่างเช่น 036 เป็นเลขฐานแปด มีค่าเท่ากับ 30 ในเลขฐานสิบ
                    3. เลขฐานสิบหกคือการเขียนค่าของข้อมูลจำนวนเต็มโดยใช้เลขฐานสิบหก โดยการขึ้นต้นข้อมูลด้วยเลข 0x หรือ 0X แล้วตามด้วยเลข 0 ถึง 9 และ ตัวอักษร A ถึง F  ตัวอย่างเช่น 0XB2 เป็นเลขฐานแปด มีค่าเท่ากับ 178 ในเลขฐานสิบ
           การประกาศตัวแปรใดๆ ให้เป็นข้อมูลจำนวนเต็มต้องคำนึงถึงขอบเขตของช่วงข้อมูลที่เก็บได้ และต้องกำหนดค่าชนิดข้อมูลในเหมาะสมตรงกับชนิดข้อมูลที่ประกาศตัวแปร
          ตัวอย่างการประกาศตัวแปรและกำหนดค่าข้อมูลของตัวแปร ดังนี้
                    long  x1 = 100000000000L;  
                    เป็นการประกาศตัวแปรชนิด long ชื่อ x1 มีค่าข้อมูลเท่ากับแสนล้าน (100,000,000,000) การประกาศตัวแปร long ต้องต่อท้ายข้อมูลด้วยตัวอักษร L หรือ l เสมอ
                    int  x2 = 1000000000;
                    เป็นการประกาศตัวแปรชนิด long ชื่อ x1 มีค่าข้อมูลเท่ากับพันล้าน (1000,000,000)
                    short  x31 = 32767;    
                    เป็นการประกาศตัวแปรชนิด short ชื่อ x31  เก็บข้อมูลเป็นตัวเลขฐานสิบมีค่าข้อมูลเท่ากับ 32,767
                    short  x32 = 0X7FFF;     
                    เป็นการประกาศตัวแปรชนิด short ชื่อ x32  เก็บข้อมูลเป็นตัวเลขฐานสิบหกมีค่าข้อมูลเท่ากับ 32,767
                    byte  x41 = 127;   
                    เป็นการประกาศตัวแปรชนิด byte ชื่อ x41  เก็บข้อมูลเป็นตัวเลขฐานสิบมีค่าข้อมูลเท่ากับ 127
                    byte  x42 = 0177;
                    เป็นการประกาศตัวแปรชนิด byte ชื่อ x42  เก็บข้อมูลเป็นตัวเลขฐานสิบแปดมีค่าข้อมูลเท่ากับ 127
          2.2 ชนิดข้อมูลจำนวนทศนิยม(Floating Point)
           ชนิดข้อมูลจำนวนทศนิยม ประกอบด้วยข้อมูลที่เป็นตัวเลขทศนิยม เช่น 1200.578 การเขียนโปรแกรมด้วยภาษา Java จะประกาศตัวแปรด้วยคำว่า float และ double โดยชนิดข้อมูล float จะเก็บข้อมูล 32 บิตตามมาตรฐาน single precision คือมีส่วนละเอียดของตัวเลขจำนวน 24 บิต และส่วนเลขยกกำลัง 8 บิต และชนิดข้อมูล double จะเก็บข้อมูล 64 บิตตามมาตรฐาน double precision คือมีส่วนละเอียดของตัวเลขจำนวน 53 บิต และส่วนเลขยกกำลัง 11 บิต รูปแบบการตัวเลขทศนิยมมี 2 แบบ ดังนี้
          1. ตัวเลขทศนิยม เป็นการเขียนตัวเลขทศนิมที่มีเครื่องหมายจุดทศนิยม ตัวอย่างเช่น 3.14 เป็นต้น
          2. ตัวเลขยกกำลังสิบ เป็นการเขียนตัวเลขทศนิยมอยู่ในรูปเลขยกกำลังสิบ (Exponential Form) โดยใช้ตัวอักษร E หรือ e ระบุจำนวนที่เป็นเลขยกกำลัง เช่น 6.12E12 หรือ 125.03E-5 เป็นต้น
          ตัวอย่างการประกาศชนิดข้อมูลจำนวนทศนิยม เช่น
                    float  f1 = 1234.157f;
                    เป็นการประกาศตัวแปรชนิด float ชื่อ f1  เก็บข้อมูลตัวเลขทศนิมขนาด 32 บิตและต้องใส่ตัวอักษร F หรือ f ต่อท้ายเพื่อระบุว่าเป็นชนิดข้อมูลแบบ float
                    double  f2 = 2.18E6;
                    double  f3 = 1234.157D;

                    เป็นการประกาศตัวแปรชนิด double ชื่อ f2, f3  เก็บข้อมูลเป้นเลขทศนิยมแบบ 64 บิต โดยใส่ตัวอักษร D หรือ d ต่อท้าย แต่โดยทั่วไปจะไม่นิยมใส่ตัวอักษรต่อท้ายเพราะการเขียนตัวเลขทศนิยมทั่วไปเป็นชนิดข้อมูลแบบ double อยู่แล้ว
          ตัวอย่างข้อมูลจำนวนทศนิยมที่ถูกต้อง ได้แก่
                    123. 456E3          12.5e2          617.0e2F          -3.14F          512.0E-12
          ตัวอย่างข้อมูลจำนวนทศนิยมที่ไม่ถูกต้อง ได้แก่
                    1,234.567          ไม่ถูกต้องเพราะมีเครื่องหมาย ,
                    1.2E50F            ไม่ถูกต้องเพราะ ค่าข้อมูลเกินขอบเขตของชนิดข้อมูลแบบ float
          2.3 ชนิดข้อมูลอักขระ(Character)
           ชนิดข้อมูลอักขระจะต้องประกาศตัวแปรด้วยคำว่า char คือการเก็บข้อมูลเป็นตัวอักษร หรืออักขระบนแป้นพิมพ์ได้เพียง 1 ตัวอักขระ ซึ่งในภาษา Java จะเก็บข้อมูลอักขระอยู่ในรูปแบบของรหัสแอสกี (ASCII Code) หรือรูปแบบมาตรฐาน Unicode ขนาด 16 บิต การกำหนดค่าข้อมูลอักขระจะอยู่ในเครื่องหมาย ‘ ’ โดยจะขึ้นต้นด้วยสัญลักษณ์ \u และตามด้วยเลขฐานสิบหก (Hexadecimal Number) โดยมีค่าตั้งแต่ ‘\u0000’ ถึง ‘\uFFFF’ หรือกำหนดค่าข้อมูลอักขระด้วยตัวอักขระบนแป้นพิมพ์ ตัวอย่างเช่น ‘A’, ‘x’, ‘$’ หรือ ‘1’ เป็นต้น
ตัวอย่างการประกาศชนิดข้อมูลอักขระ เช่น
                    char   grade= ‘A’;
                    char   grade= ‘\u0041’;

          เป็นการประกาศตัวแปรที่มีชื่อว่า grade เป็นชนิดข้อมูลอักขระ มีการกำหนดค่าเริ่มต้นเป็นตัวอักษร A ซึ่งมีค่าเป็นเลขฐานสิบหก คือ 0041
          ตัวอักขระพิเศษ หรือ Escape Sequence เป็นการแสดงข้อมูลอักขระบนแป้นพิมพ์ที่ใช้แทนการขึ้นบรรทัดใหม่ หรือ ตัวอักขระพิเศษในการเขียนโปรแกรม

ตัวอักขระพิเศษ
รหัส Unicode
ความหมาย
\b
\u000B
Backspace ลบอักขระตำแหน่งเคอร์เซอร์
\t
\u0009
Tab การเว้นช่องว่างตามระยะ
\n
\u000A
New Line การขึ้นบรรทัดใหม่
\r
\u000D
Return การขึ้นบรรทัดใหม่
\\
\u005C
Backslash แสดงตัวอักขระ  \
\‘
\u0027
Single Quote แสดงตัวอักขระ    ‘
\“
\u0022
Double Quote แสดงตัวอักขระ   “
2.4 ชนิดข้อมูลตรรกะ (Logical Data)          ชนิดข้อมูลตรรกะจะต้องประกาศตัวแปรด้วยคำว่า boolean ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีความจริงเป็นจริง (true) หรือเท็จ (false) ได้เพียง 1 ค่าเท่านั้น ใช้ในการตัดสินใจในเงื่อนไขของคำสั่งควบคุม หรือคำสั่งเกี่ยวกับตรรกะของโปรแกรม ตัวอย่างการประกาศชนิดข้อมูลตรรกะ เช่น
                 boolean flag = false;
             เป็นการประกาศตัวแปรที่มีชื่อว่า flag เป็นชนิดข้อมูลตรรกะ มีการกำหนดค่าเริ่มต้นเป็น false

         ตัวอย่างโปรแกรมการประกาศและกำหนดค่าของตัวแปรต่างๆ
class  Test3 {
public static void main(String[] args) {                     
final  double  PI =3.1419265;
int  a =0, b=0;
float  x =0, y=0;
char  grade='F';
// Assignment variable 
a = b+2*3;
y = 25.5f;
x =  y / a;
grade='B';
// Display variable
System.out.println("a ="+a);
System.out.println("x="+x);
System.out.println("grade="+grade);
}




a = 6
x = 4.25
grade = B
          
ขอบคุณข้อมูลดีจาก
 : http://settawut123456.blogspot.com/2013/05/java.html?m=1

วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Social Network กับนักเรียนและสังคมไทย


สวัสดีค่ะ กลับมากับการเขียนครั้งที่ 3 ค่ะเพื่อนๆ :))))

                              .
                              .

          เพื่อนๆเคยสังเกตตัวเองและคนรอบข้างหรือไม่คะว่า เราใช้เวลาในชีวิตประจำวันเล่นอยู่กับพวก Social Network ไปภายใน 1 วัน วันละกี่ชั่วโมง เราก็เป็นคนนึงแหละที่ติดพวกนี้เช่นเดียวกัน เราสามารถเล่นได้ทั้งในคอมพิวเตอร์ ipad ipod iphone tablet หรือ smartphone ต่างๆ เราจะเห็นว่าทุกคนก็ก้มหน้ามองหน้าจอและจดจ่อกับ social ต่างๆ แอพลิเคชั่นที่ติดอันดับการเข้าใช้มากที่สุดจากตัวของเรา (คนเขียนเองแหละะะ)และเพื่อนๆหลายๆคนนะคะ ก็จะมี


1.ที่ต้องมีเล้ยย FACEBOOK เพื่อนๆจะชอบกดไลค์กัน เข้าไปคอมเม้นเพื่อนๆ หรือแม่แต่การดูสิ่งที่เพื่อนแบ่งปันมาต่างๆ

2.MESSENGER เป็นแอพฯที่เชื่อมต่อกับเฟสบุ๊คของตัวผู้ใช้เป็นแอพเพิ่งสร้างขึ้นได้ไม่นาน และนำไว้คุยสนทนาการเพื่อนที่เรามี สามารถส่งรูป วิดีโอ แม้แต่ส่งสติกเกอร์ได้ค่าาา~


3.LINE คนส่วนใหญ่ก็ใช้แอพนี้เพื่อเป็นทางเลือกในการติดต่ออีกทางนึงแทนการพูดสนทนาในโทรศัพท์ แอพฯนี้ก็โทรฯฟรีเช่นกันสามารถทำได้คล้ายกับ MESSENGER ~


4.INSTAGRAM ที่เพื่อนๆเรียกย่อๆกันว่า อตก. หรือ ไอจี (ig) กลุ่มวัยรุ่นส่วนมากจะอัพรูปที่ตัวเองชื่นชอบและอยากจะแชร์ให้เพื่อนๆได้เห็น สามารถกดไลค์ ฟอลโล่ติดตามกันได้เยย


5.สุดท้ายยย ท้ายสุดเลยนะเพื่อนๆ TWITTER ฮิตช่ายม้ายย เราสามารถพิมอะไรก็ได้ที่เราต้องการ ลงทามไลน์เพื่อนๆที่เล่นที่กดติดตามก็จะเห็นเช่นกัน เราก็มีนะส่วนมากเราก็บ่นแหละคิคิคิ

      จบกันไปกับการสำรวจในแบบของเราเองแหละไม่มีหลักการไรเลยน้า..ขอบคุณที่อ่านจนจบค่ะ 










วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เค้กช็อกโกแลตง่ายๆด้วย..ไมโครเวฟ







                    คนส่วนใหญ่หลังจากได้รับประทานอาหารคาวแล้ว ก็ต้องมีอาหารหวานตามมา วันนี้ก็เลยมีเมนูที่สามารถทำทานเองที่บ้านได้ เป็นเมนูเอาใจของคนที่ชื่นชอบชอคโกแลตเป็นพิเศษค่ะ..



           แป้งเค้ก 3 ช้อนโต๊ะ
           น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ
           ผงโกโก้ 2 ช้อนโต๊ะ
           ผงฟู หรือ เบกกิ้งโซดา 1/4 ช้อนชา
           เกลือป่น 1/8 ช้อนชา
           ไข่ไก่ 1 ฟอง
           นมสดรสหวาน 2 ช้อนโต๊ะ
           น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
           กลิ่นวานิลา 1/4 ช้อนชา
           ช็อกโกแลตต่าง ๆ 

          (เช่น ช็อกโกแลตเฮอร์ชีส์ กับเอ็มแอนด์เอ็ม)
           แก้วมัค (ที่สามารถนำเข้าไมโครเวฟได้)
           น้ำตาลไอซิ่ง (ตกแต่ง)

วิธีทำ
 ใส่แป้งเค้กลงในแก้ว

  ตามด้วยน้ำตาลทราย

 ตามด้วยผงโกโก้

  ตามด้วยผงฟู 

 สุดท้ายใส่เกลือป่นลงไป

 คนผสมให้เข้ากัน

 ตีไข่ไก่พอแตกแล้วเทลงในแก้วส่วนผสมแป้ง (แนะนำว่าให้ตอกไข่ใส่ชามแล้วตีไข่ก่อนนะ เหมือนกับตอนทำไข่เจียวนั่นล่ะ เสร็จแล้วก็เทลงไปในแก้วเลย)

   คนผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน
 ใส่นมสดลงไป  

 ตามด้วยน้ำมันพืช

 และกลิ่นวานิลลา

.
                                                                                 .
 คนผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน 

 ใส่ช็อกโกแลตที่เตรียมไว้ลงไป

 นำเข้าไมโครเวฟ ใช้ความร้อนสูงสุดนาน 2 นาที

 พอครบเวลานำเค้กออกจากไมโครเวฟ

 โรยน้ำตาลไอซิ่ง และแต่งด้วยช็อกโกแลตให้สวยงาม



แค่นี้เราก็จะได้เค้กชอคโกแลตที่ทำด้วยไมโครเวฟง่ายๆ ทั้งน่าอร่อยและถูกใจใครหลายคนแน่นอน

ขอบคุณที่มาจาก: http://cooking.kapook.com/view115380.html

                     http://pantip.com/topic/33231936